วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมนูข้างรั้ว : ต้มจืดตำลึงหมูสับ



      วันนี้ขอเอาเมนูอาหารข้างรั้วมาให้เป็นตัวเลือกนะครับ...  เพราะช่วงนี้ฝนตกบ่อยเลยเห็นว่าผักตำลึงข้างรั้วบ้านจะงอกงามเป็นพิเศษเลยนะครับ  เรามาดูกันเลยนะครับว่ามีส่วนผสมอะไร ทำยังไงกันครับ...
      ส่วนประกอบ :
      1. หมูสับ 100 กรัม
      2. ตำลึง 150 กรัม
      3. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
      4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
      5. ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
      6. ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
      7. กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
      8. น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ
      9. พริกไทย 1/2 ช้อนชา
      10. น้ำต้ม 4 ถ้วย

วิธีทำ :
      1. นำน้ำมันตั้งไฟใส่กระเทียมเจียวแล้วเติมน้ำลงไปรอจนเดือด
      2. ใส่หมูสับ เติมเครื่องปรุงลงไปแล้ว ปิดไฟแล้วใส่ตำลึงลงไปรอจนผักนิ่มยกลง

ขอขอบคุณที่มา : http://modoeye-recipe.blogspot.com/2009/04/blog-post_24.html

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อาหารกับอารมณ์

        วันนี้ว่าจะพักจากหน้าจอคอมฯ ซะหน่อย แต่ด้วยนิสัยที่เราชอบอ่าน ก็เลยไปเจอบทความดีๆ จากบล็อกข้างเคียง  เลยขอเอามาฝากนะครับ.. เป็นเรื่องของอาหารกับอารมณ์
อาหารต่างๆนั้นมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรามาก เราจึงมีเคล็ดลับทางโภชนาการเกี่ยวกับอาหารที่ช่วยกระตุ้นให้อารมณ์แจ่มใส แถมยังให้ประโยชน์อีกนานัปการมาฝาก
*ง่วงงุนในยามเช้า หากรู้สึกว่าสมองไม่แล่น สะลึมสะลือในเวลาเช้า ให้ลองกัดขนมปังโฮลวีตสักสองแผ่น เพราะคาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้ร่างกายมีกรดอะมิโนอันเป็นสารที่คอยกระตุ้นสมองให้ทำงานอย่างปกติ
*นอนไม่หลับและหดหู่ ให้คุณกินอาหารรสจัด เพราะสารแคปซายซินในพริกจะช่วยให้สมองหลั่งสารสื่อนำประสาททำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ทั้งยังช่วยให้นอนหลับสบายในเวลากลางคืน และเพิ่มความตื่นตัวในเวลากลางวัน
*ซึมเศร้าตลอดวัน กรณีแบบนี้ต้องสรรหาผักใบเขียวเพราะผักใบเขียวนั้นอุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ที่มีผลต่อสมอง ทำให้รู้สึกสดใส แถมยังได้วิตามินซีและสารแอนติออกซิแดนท์ชะลอความแก่ ยับยั้งโรคมะเร็งและโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย
*ไร้เรี่ยวแรง วันไหนที่รู้สึกเพลียๆอ่อนระโหย วันนั้นคุณควรหันหน้ามาพึ่งธัญพืชเพื่อสุขภาพ เช่นข้าวกล้องข้าวมันปู ลูกเดือย และถั่วต่างๆเพราะจะมีวิตามินบี6  ที่จะช่วยเสริมสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย
*อารมณ์แปรปรวนและขาดสมาธิ เป็นเพราะร่างกายขาดธาตุเหล็กอย่างหนัก ทั้งนี้ ตับ ไข่ นม และเนื้อสัตว์  จะช่วยให้คุณพ้นอาการดังกล่าวได้
*ไร้อารมณ์ขัน จิตใจไม่เบิกบาน บำบัดง่ายๆด้วยน้ำผึ้งเพราะน้ำตาลฟรุคโตส จะซึมซาบแล่นสู่สมองโดยเร็ว และเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้คุณรู้สึกร่าเริงได้ภายใน 15 นาที
*เครียดจัด ในวันที่งานยุ่งไม่มีเวลาทานข้าว ให้ซุปผักข้นๆ ช่วยคุณดีกว่า เพราะในผักที่นำมาทำซุปนั้น มีทั้งวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้อารมณ์เย็นลง และผ่อนคลาย
ขอบคุณสำหรับที่มา : http://narakbeauty.blogspot.com/2008/12/blog-post.html

ประโยชน์ของกล้วย (ที่ไม่กล้วยเลย)


วันนี้ผมได้อ่านเจอเรื่องของกล้วย แต่ไม่กล้วยเลยนะครับ เลยเอามาฝากเผื่อผู้ที่เข้าชมบล็อกจะเห็นคุณค่าและประโยชน์ของกล้วยกันมากขึ้น
กล้วยนั้นอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที
ประโยชน์ ของกล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรคเลยค่ะ ส่วนจะช่วยป้องกันโรคใดได้บ้างนั้นราไปหาข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้
1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง
2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้น เลือดฝอยแตก
3. กำลังสมอง มีงานวิจัยในกลุ่มนักเรียน 200 คน โรงเรียน Twickenham พบว่ากินกล้วยมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา  ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปี ด้วยการจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมใน กล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น Rerotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่ นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบประสาท วิธีควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้
11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น
13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี
14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็วอันเป็นผล จากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง
15. ความเครียด โป รแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิด ความสมดุล
16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้
ขอบคุณสำหรับที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/16288.html

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ยำผักรวม (เจ)

ยำผักรวม (เจ)
เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ทำได้ยากมากๆ อร่อยด้วยความสดใหม่ของผักที่เรานำมาทำ แถมยังมีรสชาติดีกว่าอาหารเจแบบ ต้นตำรับหลายขุม...

เครื่องปรุง            
กะหล่ำปลีหั่นฝอย               1/4          ถ้วย        
แครอทหั่นฝอย                    1/4          ถ้วย        
หัวไชเท้าหั่นฝอย                1/4          ถ้วย       
ฟักทองหั่นฝอย ต้มสุก       1/4          ถ้วย        
ถั่วงอก                                   1/4          ถ้วย        
คื่นฉ่ายหั่นท่อน                   1/4          ถ้วย        
พริกชี้ฟ้าโขลก                     1 1/2      ช้อนโต๊ะ              
ซีอิ๊วขาว                                 2              ช้อนโต๊ะ              
น้ำตาลทราย                          2              ช้อนโต๊ะ              
น้ำส้มสายขูกลั่น                  1/2          ช้อนโต๊ะ              
ใบสะระแหน่                                      

วิธีทำ     
1.       ทำน้ำยำ โดยผสม พริกชี้ฟ้า ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชูกลั่น คนให้เข้ากัน
                2.       เสริฟ โดยนำส่วนผสมคลุกให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ รับประทานทันที 
ที่มา : มะลิลา.คอม

ยำผักตำหรับต้านโรค


แพทย์แผนไทย
มนุษย์จะมีสุขภาพดีแข็งแรงหรือเจ็บป่วย ก็ต้องดูจากพฤติกรรมเรื่องอาหารการกิน ดังคำกล่าวที่ว่ากินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอย่ารอช้า เรามาช่วยกันสร้างสรรค์เมนูอาหารเพื่อสุขภาพอย่างง่ายๆ เพื่อบำรุงรักษาสุขภาพกันดีกว่า
เมนูง่ายๆ อย่าง เมนูยำผัก อาจดัดแปลงตามความชอบหรือสอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือน เช่น ยำผัก 4 ธาตุ ตามธาตุเจ้าเรือน ดิน น้ำ ลม ไฟ สอดคล้องกับพื้นฐานการดูแลสุขภาพตามหลักการแพทย์แผนไทย ข้าวยำสมุนไพร สลัดผักพื้นบ้าน ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน เมี่ยงคำ รวมไปถึงเมนูอาหารต่างๆ ที่มีผักเป็นหลัก โดยอาศัยหลักในเรื่องรสยาทั้ง 9 รส  คือ รสฝาด ชอบสมาน หวาน ซึมซาบไปตามเนื้อ เมาเบื่อ แก้พิษ ขม แก้ทางโลหิตและดี มัน ชอบแก้เส้นเอ็น หอมเย็น บำรุงหัวใจ เค็ม ซาบไปตามผิวหนัง เผ็ดร้อน แก้ลม เปรี้ยว กัดเสมหะฟอกโลหิต เป็นตัวกำหนดรสชาติและรสยา
นอกจากนี้ ยังอาจสร้างสรรค์เมนูตามอาการและโรคที่เจ็บป่วยให้เป็นอาหารรักษาโรคไปในตัวอย่างพร้อมเพรียง อาทิ สลัดผักสำหรับโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ยำผักลดความดัน ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนสูตรบำรุงโลหิต หรือขับลมช่วยย่อย แก้อาการท้องผูก เป็นต้น โดยการคัดเลือกเอาผักที่มีสรรพคุณต่างๆ นั้นมาประกอบโดยเน้นที่ผักสด เช่น
1.       ผักกาดหอม ช่วยทำให้ผ่อนคลาย ช่วยนอนหลับสบาย
2.       ผักเป็ดแดง ฟอกโลหิตประจำเดือน แก้ประจำเดือนขัดข้อง เป็นก้อนดำเหม็น ปวดเมื่อยบั้นเอวและท้องน้อย และบำรุงโลหิตด้วย ช่วยขับน้ำนม ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้ไข้ ตำพอกรักษาแผล
3.       แครอท อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวและเนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญของร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอล วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ มีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค
4.       ทองหลาง แก้เสมหะ แก้ลมพิษ หยอดตาแดง ตาแฉะ แก้พยาธิ แก้ไข้ พอกบาดแผล บำรุงโลหิต นิยมกินกับเมี่ยงคำ มีรสมันบำรุงธาตุดิน
5.       กระถินไทย ใช้เมล็ดแกะโรยในยำผัก รสมัน     บำรุงกำลัง ยาถ่ายพยาธิตัวกลม เป็นยาอายุวัฒนะ ขับลม แก้ฤดูขาว
6.       ช้าพลู ช่วยเจริญอาหาร ขับเสมหะ  แก้อาการจุกเสียดแน่น
7.       ตะลิงปลิง แก้เสมหะเหนียว ละลายเสมหะ ฟอกโลหิต และเป็นยาบำรุง ช่วยเจริญอาหาร แก้พิษร้อนใน กระหายน้ำ ใช้รักษาโรคผิวหนัง เป็นเครื่องปรุงรสเปรี้ยวใช้ได้ทั้งยอดอ่อนและผล
8.       ถั่วพู ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ช่วยย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่
9.       บัวบก รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก รักษาแผลเก่า รอยแผลเป็น แก้ร้อนใน กระหายน้ำ อ่อนเพลีย แก้ตับโต (ตับอักเสบ) แก้อาการเจ็บคอ แก้ปวดศีรษะข้างเดียว
10.   ผักบุ้งไทย ช่วยขับล้างสารพิษในร่างกาย บำรุงสายตา ป้องกันตาบอดกลางคืน ช่วยให้ขับถ่ายดี
11.   โหระพา เป็นยาธาตุเจริญอาหาร ขับลม แก้ท้องอื่น ท้องเฟ้อ ยับเหงื่อขับเสมหะ แก้ลมวิงเวียน  เป็นยาระบายอย่างอ่อน เป็นยาพอกฝีให้หายเร็ว ขับน้ำเหลืองเสีย ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องในเด็ก
12.   มะตูม ใช้ยอดมะตูมอ่อนช่วยขับลม เจริญอาหาร แก้กระหายน้ำ แก้พิษฝี แก้ไข้ แก้ไอ แก้ลมหอบหืด แก้ลม แก้เสมหะ แก้ปวดศีรษะ ตาลาย แก้ธาตุพิการ แก้ท้องเสีย
13.   มะม่วง แก้คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน กระหายน้ำ แก้ท้องอืด ขับพยาธิ แก้ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ท้องอืดแน่น แก้ไข้ตัวร้อน แก้อาการปวดเมื่อยเมื่อมีประจำเดือน แก้บิดถ่ายเป็นเลือด
14.   พรมมิ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์สมอง ช่วยกระตุ้นความจำและการเรียนรู้ มีฤทธิ์ในการป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ประสาท และช่วยให้เซลล์ประสาทสมองยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น
15.   ใบมะกรูด ขับลม แก้จุกเสียด แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ช้ำใน
16.   หัวไชเท้า ช่วยในการกระจายสิ่งหมักหมมในร่างกาย ละลายเสมหะ แก้พิษ ลดความดัน ขยายหลอดลมและหลอดเลือด จึงควรเป็นอาหารที่อยู่ในเมนูของคนที่ป่วยเป็นโรคหวัด ไอเสียงแหบแห้ง ท้องขึ้นเนื่องจากอาหารไม่ย่อย คออักเสบเรื้อรัง
17.   ผักชีฝรั่ง ช่วยขับลม เจริญอาหาร งาขาวหรืองาดำ บำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ขับปัสสาวะ รักษาริดสีดวงทวาร
ตบแต่งสีสันของเมนูนั้นๆ ด้วยดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกเข็ม แก้โรคตา และเจริญอาหาร แก้ท้องผูก ดอกกุหลาบ กลีบดอกกลิ่นหอมเย็น บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย ช่วยระบาย ดอกอัญชัน แก้หลอดลมอักเสบ คลายกล้ามเนื้อ
เลือกสรรผักเหล่านี้ไปทำอาหารในเมนูต่างๆ ตามชอบ ถ้าจะทำยำผักก็หั่นผักที่ต้อง การนั้นให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทำน้ำยำราดหน้า
สูตรน้ำยำ ประกอบด้วย น้ำส้มสายชู น้ำตาลทรายสีรำ เกลือ ใช้ผสม 2-3 ช้อนโต๊ะ ปรับรสตามความชอบ
วิธีปรุงน้ำยำผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือ ให้เข้ากันตั้งไฟให้เดือด แล้วจึงใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวต่อไปให้ส่วนผสมเหนียวเล็กน้อย ถ้าชอบเผ็ดอาจเติมพริกขี้หนูป่นด้วยก็ได้
เมื่อปรุงเสร็จให้โรยงาคั่วตักเสิร์ฟได้ทันที ท่านก็จะได้เมนูยำผักต้านโรคตามที่ต้องการ.

เคล็ดลับ.. : กินเพื่อสุขภาพ

เคล็ดลับ...รู้ไว้ไม่เสียหลาย : กินเพื่อสุขภาพ
1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ
 เฉลย :   ไม่จริง  แต่ แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้  
2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ
 เฉลย :  จริง  เพราะ ในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้  
3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำจริงหรือ
 เฉลย :  จริง  เพราะ ในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่าโรคนอนหลับ ได้อีกด้วย  
4. ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ
 เฉลย   : ไม่จริง  แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร  
5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ
 เฉลย :   ไม่จริง  แต่ การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง  
6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ
 เฉลย  :  จริง  เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น  
7. กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ
 เฉลย:  จริง  การ รับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย  
8. การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ
 เฉลย :  จริง  เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล  
9. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ
 เฉลย:  จริง  เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความ เป็นด่างได้ทัน แต่ บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้  และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย  
10. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ
 เฉลย:  จริง  เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น  สารอาหารไปเลี้ยง สมองได้น้อยลงสมองจึงค่อยๆเสื่อม
ที่มา : http://www.teenee.com/

เคล็ดลับการผ่าแตงโม

     พอดีไปเจอเคล็ดลับดีดี เกี่ยวกับการผ่าแตงโม  เอาไว้ลองใช้กันเวลาจะทานแตงโมนะครับ...

ขอให้สนุกกับการรับประทานแตงโมกันนะครับ...
ที่มา : http://www.teenee.com/

สูตรน้ำยำรสเด็ด


          อาหารยำ พอคิดถึงก็น้ำลายสอขึ้นมาทันที เพราะเป็นอาหารที่มีรสจัด เหมาะกับอาหารทานเล่นหรืออาหารเรียกน้ำย่อย และอีกประการส่วนใหญ่มักจะนำไปทำเป็นอาหารกับแกล้มในวงสุรา อาหารยำเป็นอาหารหลักของคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะคนไทยนิยมอาหารรสจัด จนเรียกว่าเป็นนิสัยในการกินอย่างหนึ่ง ความจริงแล้วอาหารรสจัดใช่ว่าจะให้โทษต่อผู้กินเสมอไป แต่ถ้าเรานำมาดัดแปลงให้รสชาติกลมกล่อม ลดความเผ็ดร้อนลง ก็จะให้ประโยชน์ต่อผู้ทาน อาหารประเภทยำ จัดเป็นอาหารรสจัดก็จริง แต่การที่มีส่วนผสมของผักและเนื้อสัตว์ จึงทำให้อาหารประเภทนี้ลดความจัดลง และเพิ่มคุณค่าขึ้นอีกมาก ฉะนั้นการที่คนไทยนิยมรับประทานอาหารประเภทนี้ จึงนับว่าให้ประโยชน์ทั้งรสชาติ และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย
           ยำ ตามความหมาย หมายถึงการนำอาหารที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันปรุงรสด้วย น้ำยำ ยำของไทยเรามีทั้งยำสามรสคือ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด เช่น ยำปลาหมึก ยำเนื้อย่าง ยำเล็บมือนาง เป็นต้น ยำสี่รสคือ เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด เช่น ยำใหญ่ ยำสามกรอบ ยำปลาดุกฟู เป็นต้น ยำอีกประเภทจะทำคล้ายแกงออกรสหวาน เค็ม เปรี้ยว เผ็ดเล็กน้อย ใช้กะทิเป็นตัวผสมน้ำยา เช่น ยำทลาย ส่วนผสมหลักของน้ำยาส่วนใหญ่จะประกอบด้วย น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล พริกขี้หนู การทำน้ำยำควรปรุงให้รสพอดีเสียก่อนแล้วจึงนำไปคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงยำ ไม่ใช่ผสมกันทีละครั้ง การปรุงน้ำยำต้องมีส่วนที่พอเหมาะและถ้าต้องการรสใดให้แหลมก็ง่ายที่จะปรุง รสเพิ่มเติมได้
           การเลือกและเตรียมผักยำ
           1. ต้องใช้ผักสดและอ่อน เพราะจะได้คุณค่าทางอาหารและรสชาติ
          2. ผักที่มีตามฤดูกาล เพราะหาซื้อได้ง่ายราคาถูก
         3. ถ้าใช้ผักสดต้องล้างให้สะอาด ไม่เหี่ยวหรือช้ำ ยำทุกชนิดถ้าจะให้มีรสดี ผักเป็นส่วนประกอบสำคัญต้องทำให้ผักกรอบและใช้ผักสด
        4. ถ้าต้องใช้ผักสุกต้องต้ม นึ่งหรือลวกใช้น้ำน้อย ไฟแรง เวลาสั้น
        5. ผักที่จะใช้ยำทุกชนิดต้องผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
           การปรุงน้ำยำ น้ำยำต้องมีสามรส คือ เปรี้ยว เค็มและหวาน การปรุงให้พอดีทั้ง 3 รส นับเป็นการยากที่จะได้รสพอเหมาะพอดีทุกครั้งไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ปรุงอาหารบ่อยๆ นับว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคในการทำอาหารให้มีรสชาติที่ดีได้ ดังนั้น เพื่อช่วยให้คุณผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจทำอาหารประเภทยำให้ได้รสชาติมาตรฐานทำ ได้ง่ายสะดวก และขจัดปัญหาความไม่อร่อย จึงได้แนะนำวิธีปรุงและสูตรน้ำยำแบบต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการทำอาหารประเภทยำ เพราะการปรุงน้ำยำ คืออย่าผสมรสหนึ่งรสใดทีละอย่าง เพราะจะได้รสชาติที่ไม่ลงตัว ทำให้ได้ยำที่มีน้ำเจิ่งนอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของยำที่ไม่ถูกต้องทั้งด้านรสชาติและคุณค่า ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ต้องปรุงน้ำยำให้ได้ 3 รส พอเหมาะก่อนจึงจะนำไปเคล้าในเนื้อสัตว์และส่วนผสมอื่นที่เตรียมไว้

สูตรที่ 1
           น้ำปลาดี 6 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ (หรือน้ำตาลทราย) 6 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 6 ช้อนโต๊ะ รวมกันได้น้ำยำ 1 ถ้วยตวง
           วิธีทำ ผสมเครื่องปรุงคนให้เข้ากัน ใช้คลุกกับเครื่องยำ

สูตรที่ 2
           น้ำ ปลาดี 6 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 6 ช้อนโต๊ะ กระเทียมหั่น 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูหั่น 1 ช้อนโต๊ะ รวมกันแล้วได้น้ำยำ 1 ถ้วยตวง
           วิธีทำ ผสมเครื่องปรุงคนให้เข้ากัน ใช้คลุกกับเครื่องยำ

สูตรที่ 3
           น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 6 ช้อนโต๊ะ พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด หรือพริกขี้หนู 1 ช้อนชา เกลือ ? ช้อนชา กระเทียม 1 ช้อนชา รวมกันได้น้ำยำ 1 ถ้วยตวง
           วิธีทำโขลกพริกชี้ฟ้า กระเทียม เกลือให้ละเอียด (ตำพริกขี้หนูบุบพอแตก) แล้วละลายกับน้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะนาว คนให้เข้ากันใช้ยำหอยแครง ยำปลาย่าง

สูตรที่ 4
            น้ำปลาดี 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 6 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ น้ำส้ม 2 ช้อนโต๊ะ รากผักชีหั่น 1 ช้อนชา พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด กระเทียม 1 ช้อนชา เกลือ  ช้อนชา รวมกันได้น้ำยำ  ถ้วยตวง
           วิธีทำ โขลกรากผักชี พริกชี้ฟ้า กระเทียม เกลือ ให้ละเอียดละลายกับเครื่องปรุงคนให้เข้ากันใช้ยำใหญ่ ยำญวน

สูตรที่ 5
             น้ำปลาดี 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 6 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมะขามเปียกคั้นข้น 3 ช้อนโต๊ะ พริกแห้งเผา 3 เม็ด กระเทียมเผา 1 ช้อนโต๊ะ หอมเผา 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ ? ช้อนชา หัวกะทิคนไฟ 4 ช้อนโต๊ะ ทำน้ำพริกเผาสำหรับยำ
             วิธีทำ โขลกน้ำพริกเผา ผสมกับหัวกะทิแล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลาดี น้ำส้ม น้ำมะขามเปียกและน้ำมะนาว ใช้ปรุงยำหนังหมู ยำหัวปลี

สูตรที่ 6
            พริกขี้หนู 1 ช้อนชา กะปิเผา ? ช้อนชา กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ ? ช้อนชา น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
            วิธีทำ โขลกพริกขี้หนู กะปิ กระเทียม เกลือ ให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาวใช้ยำพวกสะตอ

สูตรที่ 7
            ปลากรอบ 1 ถ้วยตวง น้ำส้มมะขามคั้น 6 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ น้ำปลาดี 3 ช้อนโต๊ะ พริกแห้ง 3 เม็ด หอมเผา 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียมเผา 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ ? ช้อนชา กะทิ 2 ถ้วยตวง
            วิธีทำ          1. เคี่ยวกะทิให้แตกมัน
                                2. ฉีกพริกแห้งล้างเม็ดออกโขลกกับเกลือให้ละเอียด แล้วใส่ปลากรอบโขลกให้เข้ากัน
                                3. ละลายน้ำพริกในกะทิ ปรุงรสด้วยน้ำส้มมะขามเปียก น้ำตาลและน้ำปลา พอเดือดยกลง ใช้ปรุงยำทลายหรือยำพวกผักสุก